ผมสอบผ่านแล้ว

ห้องครัวเล็กมาก ลุยกันสามคน ผม ลุง ป้า
รูปขณะทำงานในครัวร้านเปรี้ยวปาก
ที่ไม่พอ ต้องมาจัดจานข้างนอก
ออร์เดอร์มาเรียงกันเป็นแถว ทำไม่ได้หยุด
ความเดิมจากตอนที่แล้ว ที่ไปสอบมา และให้รอผลสาม-สี่วัน เมื่อวานพี่ที่ไปสอบด้วยกันโทรมาบอกว่า แกสอบตก แต่ผมสอบผ่าน ทั้งเสียใจกับแกและก็ดีใจกับเราในเวลาเดียวกัน ได้แต่ปลอบใจแกว่า เดือนหน้าสอบใหม่ ยังไงก็ผ่าน ส่วนผมเองแทบจะเก็บความดีใจเอาไว้ไม่ไหว วางหูเสร็จแทบจะกระโดดคุณภรรยา

วันที่สอบเสร็จ จำได้ว่าเหนื่อยมาก ผมทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการสอบวันนั้น มีเชฟโรงแรมไปสอบหลายคน บางคนเล่าว่าเขาต้องมาสองครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง ทั้งที่เขาทำอาหารมาเป็นสิบปี ได้ยินอย่างงั้น ผมก็ยิ่งคิดว่าผมต้องสอบผ่านให้ได้ แม้มันจะยาก แต่ผมจะไม่ยอมเสียเวลาแน่ๆ ผมจะมาวนเวียนสอบแล้วไม่ไปถึงไหนไม่ได้ ต้องผ่านวันนี้แหละ คิดแล้วมือก็สั่นๆ เพราะประสบการณ์เราก็น้อยจริงๆ แต่ก็สอบผ่านมาได้ ผมก็ถือว่าตัวเองทำได้ดีพอสมควร กับการสอบเพียงครั้งเดียว แต่คนที่ทำได้ก็มีเยอะนะครับ ไม่ใช่เฉพาะผมนะ คนที่ไม่ผ่านในครั้งเดียวก็เยอะเหมือนกัน

ที่ผมพอจะแนะนำได้ สำหรับคนที่จะเข้าสอบมาตรฐาน มีดังนี้ครับ
1. ตั้งใจเรียน/เข้าอบรมกับสถาบันที่จัดสอบ
คุณต้องตั้งใจมุ่งมั่นในสิ่งที่ทำ ผมแนะนำให้เข้าอบรมไม่ว่าจะหลักสูตรระยะสั้นหรือยาวก็เข้าไปเถอะ เราจะได้ความรู้มากกว่าที่คิด ทั้งยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆที่สนใจเรื่องเดียวกันด้วย ที่สำคัญเวลาเรียน เวลาหัดทำให้ตั้งใจด้วยนะครับ อย่ามัวแต่เล่น แต่ก็อย่าเครียดจนเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องไม่สนุก

2. ทำอาหาร และก็ทำอาหาร
ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะทำอะไร ทำอาหารแม่มอย่างเดียวเลย ฉวยทุกโอกาสทุกเวลาให้ได้ทำอาหาร ที่บ้านเอย ข้างนอกถ้าเป็นได้ ยิ่งเราทำมาก มันจะยิ่งคล่อง และจะรู้ข้อผิดพลาดที่จะต้องเอาไปปรับปรุง ซึ่งการทำบ่อยๆดีกว่าไม่ทำหรือทำน้อย

3. หาประสบการณ์ให้มาก เงินเอาไว้ทีหลัง
อันนี้เป็นวิธีที่ผมใช้ คือ ไปขอทำงานร้านคนรู้จัก โดยไม่ขอรับเงินตอบแทน อันนี้จะเพิ่มโอกาสประสบการณ์การทำงานในครัวให้กับเรา จะได้รู้ว่าในครัวร้านอาหารจริงๆเขาทำกันยังไง ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง การเตรียมของ ความวุ่นวาย ปัญหาในครัว การทำงานจริง ฝึกความเหนื่อย ความอดทน ความร้อนจากเตา มีประโยชน์มากแน่ๆเวลาทำงานจริง กับการทดสอบมาตรฐาน

4. เตรียมตัวสอบอย่างดี อ่านหนังสือ
ก่อนสอบต้องอ่านหนังสือนะครับ นี่เป็นข้อดีของการไปอบรมที่สถาบันนี้ เขาจะมีคู่มือมาให้ ซึ่งมีประโยชน์มากทั้งตอนสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติ ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะอ่านจนจบ เพราะมันค่อนข้างน่าเบื่อ เป็นคำแนะนำ เป็นสูตรอาหาร ผมหลับไปหลายรอบกว่าจะอ่านจบ แต่พบว่าถ้าไม่ได้อ่านจบนี่แย่เลยนะ คำตอบของการสอบมันอยู่ในนั้นแหละ

5. ทำให้ทันเวลา ตามมาตรฐานของเขา
ผมคุยมาหลายคน พบว่าปัญหาคือ ทุกคนก็ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว ประสบการณ์เยอะ แต่นั่นไม่สำคัญเลย เพราะสถาบันนี้เขาไม่สนใจ เขาต้องการให้คุณเข้าใจ และสอบผ่านมาตรฐานของเขา ย้ำนะว่าของเขา ไม่ใช่ของเรา ในข้อนี้ คุณต้องรู้จักปรับตัว เขาต้องการอะไร ก็ทำไปครับ ทำอย่างดีเลย ความสะอาด การเก็บอุปกรณ์ กฎเกณฑ์อะไรก็ทำไป และที่สำคัญ ส่วนผสมที่เขาบอกมาทั้งหมดน่ะ ไม่ต้องใส่หมดก็ได้นะครับ คือ ปรุงให้มันอร่อยเป็นสำคัญด้วย เพราะคะแนนรสชาตินี่มากกว่าคะแนนอื่นนะครับ อ้อ และที่สำคัญ เขาตรวจถังขยะด้วย คุณจะต้องไม่ทิ้งเครื่องปรุง หรือวัตถุดิบลงในถัง คือ เรียกว่าในถังแทบไม่มีขยะเลยนั่นแหละ พื้นห้ามเปียกนะ ระวังเรื่องน้ำ เตาใช้เสร็จแล้วเช็ดให้เรียบร้อยด้วย

หลักที่สำคัญๆ ก็คงมีตามนี้ ของถ้าเอามาเยอะเกินไม่ต้องเดินกลับเอาไปคืน ใส่กระเป๋าผ้ากันเปื้ิอนไว้เลยเผื่อได้ใช้จานหน้า ขอให้สอบผ่านกันทุกคนนะครับ ส่วนผมขอตัวเดินไล่ตามความฝันข้างหน้าต่อครับ แคนาดาของผมใกล้เข้ามาอีกนิดแล้ว
5 itong2go: November 2012 ห้องครัวเล็กมาก ลุยกันสามคน ผม ลุง ป้า รูปขณะทำงานในครัวร้านเปรี้ยวปาก ที่ไม่พอ ต้องมาจัดจานข้างนอก ออร์เดอร์มาเรียงกันเป็นแถ...

ผมไปทดสอบมาตรฐานฝีมือทำอาหารมา

บรรดาผู้เข้าร่วมทดสอบฝีมือ ล้วนเก่งกาจมากฝีมือ
ผมไปสอบมาครับ สอบทำอาหารเพื่อจะได้ใบผ่านมาตรฐานว่ามีฝีมือทำอาหารไทยได้ดีไม่มีบกพร่อง ทั้งยังเอาไว้ยื่นให้นายจ้างดูเพื่อจะได้วางใจจ้างงานเราในต่างประเทศ (ในประเทศก็ได้นะ ได้ขึ้นเงินเดือนด้วย เหมือนได้ปริญญาโท) การสอบจัดขึ้นที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน เชียงใหม่ ใกล้แยกกองพันสัตว์ต่าง ทางไปอำเภอแม่ริม

ก่อนจะทดสอบฝีมือนี้ได้ ต้องผ่านการสอบข้อเขียนก่อน ซึ่งผมได้สอบผ่านมาแล้ว เกณฑ์คือ ต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่า 30 จาก 50 คะแนน ข้อสอบมีห้าสิบข้อ กากบาท ไม่ยาก ถ้าทำอาหารจริงก็ควรสอบผ่าน

เมื่อสอบผ่านแล้ว เขาจะแจ้งคะแนนและขอเบอร์โทรไว้เพื่อโทรแจ้งวันให้มาสอบปฏิบัติทำอาหารจริงๆ ก็รอประมาณสองอาทิตย์เขาก็โทรมา โดยบอกให้เตรียม ผ้ากันเปื้อน หมวกคลุมทำอาหาร ผ้าเช็ดมือ ช้อนชิม ส่วนตัวไป ที่เหลือเขาจัดไว้ให้ทั้งหมด โดยไม่บอกว่าจะให้ทำอาหารอะไร บอกแต่ว่ามีอาหารสามอย่าง ขนมหนึ่งอย่าง รวมเป็นสี่อย่าง

วันสอบจริง นัดเช้าแปดโมงครึ่ง เข้าห้องฟังบรรยายการให้คะแนน การหักคะแนน ตอนเก้าโมง เริ่มสอบตอนเก้าโมงสี่สิบ ให้เวลาสามชั่วโมง ทำอาหารสี่อย่าง ขนมหนึ่ง เมนูในครั้งนี้คือ ผัดซีอิ๊ว ยำวุ้นเส้นกุ้งกรอบ แกงเลียงกุ้งสด และขนมกล้วย โดยจะมีคู่มือมาให้ โดยให้ทำตามมาตรฐานของเขาเท่านั้น คือ เราอาจเคยทำในรูปแบบอื่นมาก่อน ให้ลืมได้เลย วันนี้ต้องทำตามแบบนี้ และต้องปรุงรสให้อร่อย สะอาด ทุกอย่างเป็นคะแนนหมด

เริ่มทำก็เกร็งๆ เขาจะมีจุดให้เราไปเอาวัตถุดิบ ที่สำคัญ อาหารหนึ่งอย่างให้เดินไปครั้งเดียว ถ้าไปหลายครั้งจะถูกตัดคะแนน ดังนั้นเลยต้องเตรียมตัวให้ดีก่อนจะเดินออกไปเอาของมาทำ พอมาทำก็เกร็งกลัวจะโดนตัดคะแนนนั่นนี่ พื้นเปียกบ้าง ของเหลือเยอะบ้าง (โดนตรวจถังขยะว่าทิ้งอะไรบ้าง) เก็บมีดไม่ถูกวิธีบ้าง ก็เครียดกันไป อย่างแรกทำเสร็จพร้อมๆกัน ไหม้บ้าง อะไรบ้าง ตลกดี

พอเริ่มอย่างที่สอง ไม่ค่อยเกร็งกันแล้ว เริ่มคุยกันบ้าง ผมเริ่มผ่อนคลายทำด้วยความสนุก รู้สึกว่าดีขึ้นเยอะ ติดแต่ว่าเมนูยำวุ้นเส้นนี้ค่อนข้างจะยุ่งยาก ต้องเตรียมน้ำยำต่างหาก และเครื่องก็เยอะ เน้นว่าต้องหั่นหมูกับตับเป็นก้านไม้ขีดซึ่งมันทำได้แต่เสียเวลา ของผมเป็นก้านไม้ขีดดีแต่เสร็จช้าเป็นคนหลังๆ

อย่างที่สามกับสี่เป็นตัวตัดสินว่าจะทำทันไหม เวลาเหลือไม่ถึงครึ่ง กรรมการแนะนำว่า ให้ทำขนมก่อนแล้วเอาไปนึ่งเพราะจะต้องรอประมาณ 20 นาที ระหว่างนั้นก็ทำแกงเลียงไป ซึ่งเป็นเรื่องลำบากสำหรับมือใหม่ที่จะจัดการสองอย่างพร้อมกัน ผมตัดสินใจทำทีละอย่าง ทำแกงเลียงก่อน ซึ่งทำไม่ยาก ติดที่ต้องโขลกเครื่องแกงให้ละเอียด และดันเอาพริกไทยกับกะปิมาเผื่อเยอะ ทำให้เสียเวลาโขลกนาน และแกงทั้งเค็มทั้งเผ็ด แต่กุ้งสวยดี เพราะผมผ่ากุ้ง ทำกุ้งในร้านมาเยอะแล้วรู้วิธีจัดการมัน

เวลาเหลือครึ่งชั่วโมง ขนมกล้วย ผมถือว่ายากสุดของผมเลย ไม่เคยทำทั้งที่มันง่ายมาก แต่ระบบเริ่มรวนแล้ว วิตกกลัวไม่ทัน ไหนจะต้องนึ่งอีก และหัวใจสำคัญของขนมกล้วยคือ คุณต้องนวดมันด้วยมือ 15-20 นาทีเพื่อให้ขนมนุ่มเหนียว ผมมีปัญหาตั้งแต่ขูดกล้วยแล้ว มันไม่ถนัดมือเลย ขูดออกมาหนา ทำให้เวลาบดมันยาก ทั้งยังลืมแป้งไว้ที่ตรงที่ตวงอีก ตักแล้วลืมเอามา เดินไปเอาไม่รู้เสียคะแนนมั้ย 

ตอนนี้บางคนเริ่มทำเสร็จ และทยอยกลับไปแล้ว เหลืออยู่สี่คน (คนสอบมีสิบคน) ซึ่งเร่งมือกันเป็นการใหญ่ ผมไม่มีเวลาตั้งซึ้งนึ่งเอง ขอใช้ต่อกับพี่คนที่นึ่งไว้แล้ว มองดูขนมที่เรานวดไว้ ทำไมมันเหลวจังวะ และยังน้อยด้วย จะพอมั้ยเนี่ย เค้าให้ทำหกอัน อ้าว ลืมทำกระทง ใบตองเอามาแล้ว เอาถ้วยคว่ำกรีดเป็นวงกลม ผ่าครึ่ง ทำทรงกรวยสูง เอาไม้กลัดไว้ ทุลักทุเลสิ้นดี หยอดขนมใส่กรวย เสร็จไปหนึ่ง อ้าวชิบหาย กูจะวางยังไง วางลงมันก็ล้มคว่ำ หกออกมา ต้องเอากะลามะพร้าวที่เราขูดไว้มาช่วยทรงตัวแล้วรีบทำอันอื่นๆมาช่วยดันไม่ให้ล้ม

รีบวิ่งไปหม้อนึ่ง ไม่มีใครเลย เหลือผมกับพี่หน่อย (เรียนชั้นเดียวกัน) วิ่งมาใส่พร้อมกัน ระหว่างรอ 15 นาที รีบทำความสะอาดเครื่องมือ กะทะ จานช้อนที่ใช้ เช็ดซิงค์ให้แห้งสนิท อ้าว ชิบหายอีก พื้นกูเปียกเยอะเลย ไม่สนละ เอาผ้าเช็ดมือนี่แหละ เช็ดแม่งเลย ในใจคิดอย่างเดียว กูจะต้องผ่านๆๆๆ ไม่่ว่าจะต้องทำอะไร เวลานั้นร้อนมาก ทั้งไฟจากเตา และไฟจากตัว

ถึงเวลา เอาไม้จิ้มขนมดู มีเศษติดขึ้นมาเล็กน้อย ปิดไฟละ จัดใส่จานส่ง กรรมการบอกเลยเวลามาสี่นาที หักหนึ่งคะแนน ผมกับพี่หน่อยโดนสองคน โอ้ ช่างเคร่งครัดดีแท้ ไม่ว่ากัน ดีกว่าไม่ได้ส่งหรือได้ส่งไม่ดี กรรมการเอาขนมของทุกคนไปตรวจ แจ้งว่าอีก 3-4 วันให้โทรมาสอบถามผลสอบได้ ถ้าผ่านก็จะได้ใบรับรองมาตรฐานฝีมือผู้ประกอบอาหารไทย ระดับ 1

ส่วนตัวผมคิดว่าผมน่าจะผ่านนะ ถ้ายังไงจะมาแจ้งผลให้ทุกท่านทราบอีกที เขียนแล้วก็ใจเต้น ตื่นเต้นทุกครั้งเวลาต้องสอบอะไร เป็นมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพราะรู้ว่าในเมืองไทยการสอบมันมีผลมาก และผมไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกแล้ว สู้ตามฝันครับพี่น้อง
5 itong2go: November 2012 บรรดาผู้เข้าร่วมทดสอบฝีมือ ล้วนเก่งกาจมากฝีมือ ผมไปสอบมาครับ สอบทำอาหารเพื่อจะได้ใบผ่านมาตรฐานว่ามีฝีมือทำอาหารไทยได้ดีไม่มีบกพร่อง ทั้...

แกงหน่อไม้อีสาน - ความลงตัวของสุขภาพดีและความอร่อย

หน้าตาแกงหน่อไม้ ร้านส้มตำเปรี้ยวปาก ที่กินแล้วติดใจ
แกงเป็นอาหารที่ทำง่าย เอาทุกอย่างที่ต้องการมาต้มผสมรวมกันก็ออกมาเป็นแกงแล้ว ส่วนจะอร่อยหรือเปล่านี่อีกเรื่องนึง ก็เป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนทำบ่อยๆเพื่อปรับปรุงรสชาติที่ชื่นชอบกันต่อไป

วันนี้ไม่ได้มาแนะนำสูตรอาหารครับ มาแนะนำเมนูสุขภาพที่สาวๆรวมทั้งบ่าวๆที่รักสุขภาพและชอบกินผักน่าจะชื่นชอบกัน มันคือ แกงหน่อไม้อีสาน (ลาว) นั่นเอง ไม่ใช่ซุปหน่อไม้นะคนละอย่างกัน

แกงนี้เป็นเมนูแนะนำอยู่ที่ร้านส้มตำเปรี้ยวปาก เชียงใหม่ ที่จังหวัดอื่นก็น่าจะหากินได้ไม่ยากตามร้านอาหารอีสาน ผมเคยกินเมนูนี้ตอนเด็ก ยายทำให้กิน จำได้ว่าอร่อยแต่ไม่ค่อยชอบกลิ่นปลาร้า แต่ของที่ร้านนี้ก็ใส่ปลาร้าเหมือนกันแต่ว่าหอมอร่อย

ลีลาการทำหน่อไม้ รู้เลยว่าอีสานแท้ เส้นจะไม่เท่ากันเช่นเดียวกับการสับมะละกอแบบอีสาน แต่น้ำซุปและเครื่องปรุงถุกปรับปรุงให้กินง่ายสำหรับคนเหนือและคนภาคอื่น คือมันไม่คั่กจนเกินไป ผักที่ใส่มากมายหลายชนิด หน่อไม้ เห็ด ฟักทอง ผักชีลาว และผักอื่นๆที่ผมไม่รู้จักชื่อ ที่สำคัญไม่มีเนื้อสัตว์ใดๆในถ้วยเลย อันนี้ถูกใจมาก

ลองซักช้อนนึง แล้วจะรู้ว่า รสชาติและสุขภาพดี ไปด้วยกันได้ครับ อาหารอีสานนี่เขามีดีจริงๆ
5 itong2go: November 2012 หน้าตาแกงหน่อไม้ ร้านส้มตำเปรี้ยวปาก ที่กินแล้วติดใจ แกงเป็นอาหารที่ทำง่าย เอาทุกอย่างที่ต้องการมาต้มผสมรวมกันก็ออกมาเป็นแกงแล้ว ส่วนจ...

ทำไมต้อง การศึกษาทางเลือก (3)

ฝึกขี่ม้าค่ะ
สังคมไม่สอนให้คิด
คนจำนวนมากทำอะไรไปไม่ถึงไหน ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่ปัญหาคือเขาคิดไม่เป็น ระบบการเรียนของเราไม่ได้สอนให้คิดเป็น เขาเน้นสอนให้คิดเร็วซึ่งไม่มีประโยชน์ การคิดเป็นหมายถึง การตั้งคำถามอย่างถูกต้อง การสงสัย การได้ใช้จินตนาการ ซึ่งการศึกษาของเราไม่ได้ส่งเสริมตรงนี้ เราดันไปเน้นให้ท่องจำ แล้วก็มาสอบกากบาท ก ข ค ง ซึ่งผมว่ามันปัญญาอ่อนมากๆ ชีวิตคนเหล่านี้เลยมองอะไรเป็นขาว-ดำ มองเห็นแต่ผิดและถูก ไม่เห็นมิติอื่นๆ เพราะไม่เคยได้คิดหาคำตอบด้วยตัวเอง น่าอนาถมากกว่าน่าสงสารเสียอีก

ทุกคนไม่เป็นตัวของตัวเอง
ในสังคมที่ทุกคนพยายามอย่างมากที่จะให้คุณเป็นคนอื่น มันยากมากที่เราจะยังเป็นตัวของตัวเองโดยมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง คุณไม่อยากเป้นตัวประหลาดก็ต้องทำตามเขา ทั้งที่จริงๆแล้วตัวคุณต้องการอะไรคุณยังไม่รู้เลย มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราไม่เคยแม้แต่จะคิดทบทวนและทำความรู้จักกับตัวเราให้ดีก่อน คุณถึงได้เห็นคนแต่งตัวตามๆกันโดยไม่คิด และเมื่อแฟชั่นเปลี่ยนเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนอีกอย่างรวดเร็ว

เด็กที่เรียนทางเลือกจะได้เรียนรู้จักตัวเอง โดยมีครูเป็นผู้สนับสนุนธรรมชาติของเด็กคนนั้นๆ แน่นอนว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป็นงานหนักของครูที่ต้องทำความรู้จักเด็กทุกคน หมั่นเฝ้าสังเกตุ คอยส่งเสริมเด็กไปในทางของเขา นี่ไม่ใช่หรือธรรมชาติของมนุษย์ ที่คนเราทุกวันนี้เหนื่อยกันเพราะเราฝืนธรรมชาติมากไปหรือเปล่า

ทำในสิ่งที่เชื่อ
ด้วยความที่ส่งเสริมในสิ่งที่เด็กทำ และให้เขาได้ทำด้วยตัวเอง ก่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเด็กที่จะกล้าลงมือทำ และเชื่อว่าตัวเขาทำได้ อันนี้ช่วยตอบปัญหาเรื่องการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของคนสมัยนี้ ที่เขามักจะไม่กล้าลงมือทำ คิดได้แต่พอจะทำก็เหลว หรือลงมือทำไปได้นิดหน่อยก็ถอดใจ ไม่มีความมุ่งมั่น มองไม่เห็นภาพสำเร็จของงาน เพราะตอนเด็กเขาไม่เคยได้ทำอะไรสำเร็จด้วยตัวเอง พอโตมาก็ไม่กล้าทำ ไม่อยากทำ ไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองก็เป็นคนๆนึงที่มีความสามารถทำอะไรได้มากมาย

เด็กที่เรียนทางเลือกนั้นส่วนมากจะมีความมั่นใจในตัวเอง กล้าพูด กล้าเชื่อ กล้าทำ

รับผลของการตัดสินใจ
ในโลกที่คุณทำอะไรสวนทางคนอื่นเสมอๆ ทำใจไว้เลยว่าจะมีคนคอยสมน้ำหน้าหรือจัดหนักเมื่อผลลัพท์มันออกมาไม่ดีนัก แต่นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรภูมิใจเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่มีอะไรน่าเสียใจไปกว่าการไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่เราเชื่ออีกแล้ว

ในฐานะที่คุณก็มานั่งอ่านบล๊อกนี้ได้ คุณไม่ได้โง่ที่จะทำอะไรอย่างไม่รอบคอบ หรือบ้าบอสิ้นสติ คุณต้องวางแผนอย่างดี หมั่นตรวจสอบดูผลลัพท์ หมั่นดูพัฒนาการลูก เปรียบเทียบก่อนเรียนแบบนี้กับหลังเรียนไปได้สักระยะ เพราะเราไม่ควรจะทำทุกอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตาโดยอ้างเพียงว่าในนามของความรักเท่านั้น แน่นอน ทุกคนก็รักลูก แต่ใครล่ะจะรักอย่างมีสติปัญญาต่างหากที่สำคัญ

ทั้งหมดเพื่อลูก
สิ่งที่ผมได้รับจากการศึกษาแนวทางนี้ และจากการส่งลูกไปเรียนโรงเรียนทางเลือชื่อ ฟ้ากว้าง นี้ผมพบว่า นอกจากโรงเรียนและคุณครูจะสอนลูกผมแล้ว ผมยังได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกับลูกด้วย แทบจะโตไปพร้อมกันเลยก็ว่าได้ ที่นี่และระบบนี้ได้เปิดโลกทางความคิดใหม่ให้กับผม ทำให้ได้รู้ว่าเรานั้นไม่รู้อะไรเลย มีสิ่งต่างๆในโลกนี้ที่ยังต้องเรียนรู้อีกมากมายนัก เราทุกคนก็เหมือนเด็กๆที่สามารถจะมีความสุขเหมือนพวกเขาได้ เพียงเปลี่ยนวิธีคิด มุมมอง ให้เหมือนเด็กๆเท่านั้นเอง อย่าไปหลงกลโลกนี้ที่หลอกให้เราต้องโตเป็นผู้ใหญ่ที่เคร่งเครียด ต้องน่านับถือ ต้องน่าเกรงขามตลอดเวลา ต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง ห้ามตั้งคำถาม ห้ามสงสัย เพราะมันจะดูโง่ มันจะเหมือนเด็ก อย่าไปเชื่อคำพวกนี้ครับ

เพื่อลูกๆ เพื่อเด็ก เพื่อโลกนี้ ลองร่วมเปิดฟ้ากว้างในใจของคุณดูครับ ขอยืมคำพูดของคุณแกะดำมาใช้ตอนจบนี้ว่า "สำหรับชาวแกะดำ โลกใหม่มีจริงครับ"
5 itong2go: November 2012 ฝึกขี่ม้าค่ะ สังคมไม่สอนให้คิด คนจำนวนมากทำอะไรไปไม่ถึงไหน ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่ปัญหาคือเขาคิดไม่เป็น ระบบการเรียนของเราไม่ได้สอน...

ทำไมต้อง การศึกษาทางเลือก (2)

สองโกสุดแสบ


เมื่อไม่มีทางให้เลือก ก็สร้างทางเลือกขึ้นมาเอง
เป็นความจริงที่ว่าชีวิตเป็นหนทางของ การเลือก ทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เลือก เราก็จะถูกเลือก ถ้าเราไม่ตัดสินใจ ก็จะมีคนตัดสินใจให้เรา ถ้ามันจะต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว อะไรที่เกิดขึ้นกับเราก็ขอเลือกเองดีกว่าจะไปโทษลมโทษฝน (คนมีแนวโน้มที่จะโทษคนอื่นสิ่งอื่นนอกจากตัวเอง) 

เช่นเดียวกันกับการศึกษา เราจึงไม่แปลกใจที่เห็นบางครอบครัวทำโรงเรียนที่บ้าน (โฮมสคูล) คือ สอนลูกเองที่บ้านเลย พ่อแม่เป็นครูเอง ก็เพราะเขาเห็นว่าระบบที่มีอยู่ตอบสนองความต้องการของเขาที่มีต่อลูกไม่ได้ จึงต้องสร้างทางเลือกขึ้นมาเอง บางทีอาจเป็นการรวมกลุ่มคนที่คิดเห็นแบบเดียวกัน และสร้างเป็นชุมชนขึ้นมา น่านับถือความตั้งใจของคนเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ที่กล้าหาญเชื่อมั่นทำในสิ่งที่สวนกับกระแสหลักและทำในสิ่งที่เชื่อ 

เน้น "ครู" มากกว่าเน้นเด็ก
ที่โรงเรียนฟ้ากว้างที่ลูกผมเรียนนั้น การจะรับครูสักคนมาสอนเด็กนั้นยากมาก ต้องคัดกรองกันหลายขั้นหลายตอน ไม่ใช่ว่าต้องมีวุฒิครู อันนั้นไม่สำคัญเลย สำคัญคือ ต้องรักเด็ก ต้องมีจิตใจของความเป็นครู รักการสอน มีความเข้าใจในหลักสูตรการศึกษาวอลดอร์ฟ มุ่งมั่น ทุ่มเท อุทิศตัว ที่สำคัญ รายได้ไม่ได้มากเลย เรียกว่าน้อยเลยดีกว่า คือพออยู่ได้ ไม่เหลือเก็บอะไร นับถือครูแบบนี้จริงๆ

สำหรับครูสอนภาษาต่างประเทศ ก็จะเน้นว่าต้องเป็นคนประเทศนั้นจริงๆ เป็นเจ้าของภาษา ไม่ใช่เอาครูไทยมาสอนภาษาอังกฤษ แต่ต้องเป็นคนอังกฤษ หรืออเมริกา หรือแคนาดา ที่เป็น native speaking ภาษาจีนก็เอาครูจีนมาสอน ค่าจ้างแพงกว่าครูไทยแน่นอน แต่โรงเรียนเขายอมจ่ายได้ ยอมทุ่มเททำในสิ่งที่เชื่อ ที่สำคัญ ผลลัพท์ออกมาดีเสียด้วย ลูกผมพูดภาษาอังกฤษสำเนียงดีมาก (ดีกว่าผมเยอะ) และยังออกเสียงภาษาจีนได้ดีอีกด้วย (ผมฟังไม่ออก แต่ก็ฟังดูจีนดี)

ที่โรงเรียนนี้ จะเริ่มเรียนภาษากันตอน ป. 1 ชั้นอนุบาลจะยังไม่มีการเรียนอะไรจริงจัง แต่จะแทรกไปในกิจกรรมต่างๆแทน

ยืดหยุ่นแต่ไม่ไร้ระเบียบ
ที่โรงเรียนนี้ไม่มีชุดฟอร์ม (ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องปัญญาอ่อน) ไม่มีการยืนหน้าเสาธง ไม่มีสวดมนต์ ไม่มีศาสนาอะไรมาบังคับ เด็กไม่ต้องถูกบังคับให้ทำอะไรที่ไม่มีที่มาที่ไปและไร้เหตุผลแบบนั้น ส่วนตัวผมยังคิดถึงประโยชน์ของชุดฟอร์มนักเรียนไม่ออก เราใส่กันตั้งแต่เด็ก จนถึงมหาวิทยาลัยก็ยังใส่ บ้าไปแล้ว มันคือการกักขังความคิดโดยแสดงออกมาเป็นการกระทำชัดๆ

แต่ใช่ว่าจะไร้ระเบียบเสียทีเดียว ที่นี่จะทำกิจกรรมตามเวลา คือจะมีแบบแผนของการใช้ชีวิต เวลานี้มาโรงเรียน เวลานี้เล่น เวลานี้ทำวงกลม (วันหลังจะอธิบายอีกที) เวลานี้พักทานของว่าง เวลานี้นอนกลางวัน ชีวิตเด็กจะไม่สับสนโดยการถูกเปลี่ยนไปมา แต่เด็กจะรู้นาฬิกาชีวิต รู้สึกมั่นคง มั่นใจ

ลูกชายผมเป็นคนมีวินัยมาก นอนตรงเวลาทุกวัน และตื่นเช้าเวลาเดิมทุกวัน ย้ำเลยว่าทุกวันโดยไม่มีใครปลุก ตื่นเองเป็นกิจวัตร 

ราคาที่คุณจับต้องได้
อันนี้เป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายครอบครัว ผมด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อมีลูกสองคนขึ้นไป ค่าใช้จ่ายก็จะทวีคูณโดยเฉพาะค่าเทอม ซึ่งก็ไม่ได้ถูกแต่ก็ไม่ได้แพงเท่ากับโรงเรียนนานาชาติ คือราคากลางๆ น่าจะเท่าๆกับโรงเรียนชื่อดังทั้งหลาย

ข้อดีคือ จ่ายแล้วจบเลย ไม่มีค่าอย่างอื่นอีกแล้ว ไม่มีค่ากิจกรรม ค่าชุดพละ ค่าอาหารกลางวัน ทุกอย่าง included หมด เด็กไม่ต้องเอาเงินไปโรงเรียน และที่สำคัญทุกสิ้นปีจะมีการประชุมระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง โรงเรียนน่ารักมากคือมาชี้แจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ฟังด้วย นั่งฟังไปก็อมยิ้ม พวกคนที่ทำเรื่องแบบนี้ช่างน่ารักนะ เขาอุทิศตัวมาทำเพื่อเด็กจริงๆ

หากสนใจการศึกษาแบบนี้ ลองค้นใน google ดูนะครับ เชื่อว่าแถวบ้านท่านทั้งหลายน่าจะมีโรงเรียนที่เหมาะสมกับลูกๆอยู่นะ ถ้าไม่มีก็ทำมันขึ้นมาเองซะเลย สู้ครับพ่อแม่ทั้งหลาย
5 itong2go: November 2012 สองโกสุดแสบ เมื่อไม่มีทางให้เลือก ก็สร้างทางเลือกขึ้นมาเอง เป็นความจริงที่ว่าชีวิตเป็นหนทางของ การเลือก ทั้งสิ้น ถ้าเราไม่เลือ...

ทำไมต้อง การศึกษาทางเลือก (1)

เด็กเลิกโรงเรียนหิวมาก ทนไม่ไหวแวะตลาดซื้อของกินก่อน
มันค่อนข้างยากที่จะเขียนเรื่องนี้โดยไม่ให้ไปกระทบกับสิ่งที่เป็นทางเลือกอื่น หรือสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ด้วยเพราะเชื่อว่า เราสามารถพูดสิ่งดีได้ โดยไม่ต้องไปเหยียบย่ำสิ่งอื่นว่าเลว สิ่งอื่นก็ดีเหมือนกันเพียงแต่เราไม่เลือก เพราะเราไม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีได้ทั้งหมด เราสามารถเลือกบางสิ่งที่ดีได้เท่านั้น เพราะความจำกัดของเราในความเป็นมนุษย์นั้นเอง และเนื่องจากตัวผมไม่ใช่นักวิชาการ สิ่งที่จะเล่าก็ล้วนแต่มาจากประสบการณ์และความคิดเห็นส่วนตัวทั้งสิ้น เอาไปอ้างอิงที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะครับ ถือว่าอ่านเอาสนุกแบ่งปันความคิดเห็นกัน

ความไม่เชื่อถือในระบบการศึกษาหลัก
ทุกครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาล รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จะออกมาประกาศนโยบายปฏิรูปการศึกษา เน้นครูผู้สอนบ้าง เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางบ้าง Tablet เพื่อการศึกษาบ้าง ก็สุดแต่จะว่ากันไป แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน การเรียนการสอนบ้านเราก็ยังเหมือนเดิม ครูก็สอนแบบเดิม นักเรียนก็กลัวครูเหมือนเดิม ไม่มีใครกล้ายกมือถามคำถามในห้องเหมือนเดิม เด็กถูกบังคับให้ท่องจำก่อนจะทำความเข้าใจเหมือนเดิม เด็กเรียนภาษาอังกฤษเยอะมากแต่ก็พูดไม่ได้เหมือนเดิม (ประเทศไทยติดอันดับท๊อป5 จากท้ายตารางประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ห่วยที่สุดในโลก) เด็กเรียนเยอะมาก เรียนพิเศษหลังเลิกเรียนและเสาร์อาทิตย์ก็ยังเรียนพิเศษเพื่อจะแย่งชิงกันเอาอันดับดีๆหรือสอบเข้าโรงเรียนดีๆมีชื่อเสียงเหมือนเดิม บลาๆๆ

ตัวผมเองก็เป็นแบบที่ว่ามาเหมือนกัน ในวัยเด็กผมไม่ได้แตกต่างจากเด็กสมัยนี้ ผมเรียนเยอะมาก เรียนเก่งสอบได้ที่1 ตลอด ผมสามารถสอบเข้าโรงเรียนไหนๆก็ได้ที่ต้องการ ในด้านการเรียนแล้วผมไม่มีที่ติ แต่สุดท้าย ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรในชีวิตนี้ 

การเรียนเก่งของผมไม่มีความหมายสักนิดเดียวเมื่อเราคิดถึงความหมายและเป้าหมายของชีวิต ผมไม่รู้เลยตั้งแต่เด็กว่าผมชอบทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อกับแม่ก็อยากให้เป็นหมอ เป็นวิศวะ โดยไม่ได้รู้จักลูกเลยว่าเขาถนัดอะไร ไม่เคยสังเกตุว่าเขามีทักษะอะไรเป็นพิเศษเพื่อจะได้ส่งเสริมเขาไปในทางนั้น ถ้าโลกนี้มีแต่หมอกับวิศวกร ก็คงไม่มีใครปลูกข้าวให้เรากิน ไม่มีใครเล่นดนตรี ทำงานศิลปะ ไม่มีใครทำอาหาร ไม่มีช่างฝีมือ ไม่มีนักบิน ไม่มีๆๆๆๆ มีแต่หมอกับวิศวะ แบบนี้คงเรียกว่าโลกไม่ได้ โลกน่าจะหมายความถึงความหลากหลายที่อยู่ร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกัน ให้เกียรติกันในทุกสาขาอาชีพ

ด้วยความไม่เชื่อมั่นในระบบที่สร้างคนมาเป็นหุ่นยนต์ ปั๊มคนออกมาจากโรงงานเพื่อมาทำอะไรซ้ำๆ โดยให้คนถูกขังในกรอบความคิดเดิมๆ ผมจึงเลือกการศึกษาแนวนี้ให้ลูก รวมถึงตัวผมเองด้วยที่จะเชื่อมั่นในสิ่งตัวเองเลือกด้วยเหมือนกัน

ปัญหาทางความคิด
ผู้คนทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ สิ่งที่เขาไม่มีกันคือ ความสามารถในการคิด มีคำกล่าวติดตลกว่า คุณให้คนทำอะไรก็ได้ ยกเว้นแต่ให้เขาคิด และแม้ว่าคนบางส่วนคิดเป็นแล้ว แต่ก็ยังขาดการลงมือทำที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะพิสูจน์ให้เขาเห็นถึงศักยภาพความเป็นมนุษย์ของเขาเอง ดังนั้น คนจำนวนมากจึงตกอยู่ในกับดักความล้มเหลวทั้งที่เขาทุกคนล้วนแต่มีความสามารถในตัวเองทั้งสิ้น

โรงเรียนทางเลือก (ผมรู้เฉพาะของลูกผมนะ ไม่ได้เหมารวมทั้งหมด) สอนให้เด็กมีอิสระในการลงมือทำ มีความคิดสร้างสรรค์ แม้แต่การเล่นก็ให้อิสระ ของเล่นในโรงเรียนมักจะเป็นบล๊อกไม้ ท่อนไม้ ก้อนหินก้อนดิน เพื่อว่า เมื่อเขาอยากให้สร้างหรือเนรมิตให้มันเป็นอะไร ก็สามารถทำได้เองเลย เครื่องบินของเด็กชาย A ก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับเครื่องบินของเด็กชาย B ก็ได้ ไม่มีผิดถูก ที่สำคัญคือ จะไม่มีเครื่องบินพลาสติกของเล่นเด็ดขาด เพราะนั่นเป็นการจำกัดจินตนาการของเด็ก มันสำเร็จรูปมาแล้ว เด็กไม่ได้คิดอะไรเลย แค่ไถๆไปมา

ผมได้คุยกับคนจำนวนมาก พบว่าที่เขายังอยู่กับที่ ยังไม่ไปถึงไหน เพราะความคิดนั่นเอง เขาไม่กล้าคิดถึงวันที่ชีวิตจะสะดวกสบาย ชีวิตที่ไม่ต้องผจญกับรถติด ชีวิตที่ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา ชีวิตครอบครัวที่มีความสุข เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ยังไม่ได้ลองคิดหรือลงมือทำเสียด้วยซ้ำ ความคิด ความฝัน จินตนาการ สำคัญมากๆ ถ้าไม่มีคนกล้าคิดอะไร ป่านนี้โลกเราคงไม่มีนวัตกรรมอะไรเป็นแน่แท้ พวกเราคงยังอยู่ถ้ำกันเหมือนยุคหิน และเชื่อไหมว่าปัญหานี้ ส่วนนึงมาจากระบบการศึกษาในปัจจุบัน และถ้าเราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง เราก็ไม่จำเป็นต้องไปทำตามเขา สิ่งที่คนหมู่มากทำตามกันใช่ว่าจะเป็นสิ่งถูกเสมอไป

ครั้งหน้ามาต่อตอน 2 
5 itong2go: November 2012 เด็กเลิกโรงเรียนหิวมาก ทนไม่ไหวแวะตลาดซื้อของกินก่อน มันค่อนข้างยากที่จะเขียนเรื่องนี้โดยไม่ให้ไปกระทบกับสิ่งที่เป็นทางเลือกอื่น หรือสิ...

วันที่สามของการทำงานในครัว

ปลาหมึกย่างร้าน Hero Bar
ผ่านมาสามคืนแล้ว สำหรับงานลูกมือในครัว (ยังไม่ใช่พ่อครัวนะครับ) เหนื่อยขาแทบขาด มันจะเดินเยอะอะไรขนาดนั้น เรียกว่า วิ่ง กันเลยจะดีกว่า ไม่มีได้นั่งเลยและก็ไม่อยากนั่งด้วยเพราะจะทำให้ลุกยาก ในครัวมีทั้งหมดสี่คนก็ยังวุ่นอยู่ตลอด สังเกตุที่ผ่านมาสามคืนพบว่า ร้านนี้เป็นร้านที่ขายค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่ใช่ร้านเงียบเหงาซึมเซาแต่อย่างใด ถ้าปรับปรุงบางอย่างอีกเล็กๆน้อยๆก็น่าจะรุ่งและมีชื่อเสียงติดลมบนไปเลย

ขาหมูเยอรมัน
ผ่านมาสามคืน ผมได้ทำอาหารเองบ้างบางอย่างแล้ว เช่น ยำหมูยอ ยำผักบุ้งกรอบ ปูอัดวาซาบิ คอหมูย่าง อะไรประมาณนี้ พวกที่ต้องจับกะทะยังไม่ได้รับอนุญาตให้ทำ อาจจะต้องรอถึงครึ่งเดือนหลังหรืออาจไม่ได้ทำเลยเพราะผมทำงานที่นี่เพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น

ไวอากร้า - ตั้งแต่ไปทำยังไม่เห็นมีคนสั่ง
สิ่งที่ได้อีกอย่างคือ การไปเห็นระบบงานในครัวมากขึ้น ได้รู้ว่าปัญหามันคืออะไร ถ้าหากเราเป็นเจ้าของร้านจะแก้ไขอย่างไร บางอย่างเจ้าของยังไม่รู้ว่าเป็นปัญหาเสียด้วยซ้ำไป การมอบหมายงาน การตั้งให้คนเป็นหัวหน้าและรับผิดชอบในการตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญ

ถ้าคุณเอาคนเก่งสามคนมารวมกัน โดยไม่มีหัวหน้าหรือผู้นำ ทั้งสามคนจะทำงานไปคนละทิศทาง และไม่ส่งผลดีต่อภาพรวมของงานเลย สู้ตั้งให้ใครสักคนเป็นหัวหน้าให้ดูแลรับผิดชอบและกำหนดทิศทางการทำงาน ผลลัพท์ที่ได้จะดีกว่ามาก - ข้อสังเกตุจากการเห็นความชลมุนของบรรดาคนเก่ง
5 itong2go: November 2012 ปลาหมึกย่างร้าน Hero Bar ผ่านมาสามคืนแล้ว สำหรับงานลูกมือในครัว (ยังไม่ใช่พ่อครัวนะครับ) เหนื่อยขาแทบขาด มันจะเดินเยอะอะไรขนาดนั้น เรีย...

Facebook Comments

Recommended Post

เฮียโก บรรยายให้น้องๆมช.ฟังเรื่องการเริ่มต้นธุรกิจทำ content ออนไลน์

 บรรยายผ่าน zoom ครับ ก็จะแห้งๆนิดนึงแต่ก็ได้เนื้อหาอีกแบบนึงอยู่นะ เปิดฟังเองอีกรอบนึงก็สนุกดี พูดตะกุกตะกักไปหน่อย